วิธีดูแลทำความสะอาดเครื่องขจัดความชื้น

แม้เครื่องขจัดความชื้นในอากาศจะมีส่วนช่วยในการลดความชื้นและกรองอากาศได้ในคราวเดียว แต่เมื่อใช้นานไปอาจเกิดการสะสมของฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และถอดปลั๊กหลังการใช้งานทุกครั้ง แต่ทำไมต้องถอดปลั๊ก? หรือทำความสะอาดในส่วนไหนบ้าง? เราจะพาไปทำความเข้าใจ วิธีดูแลทำความสะอาดเครื่องขจัดความชื้น ส่วนใหญ่ทำเพื่อยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพการกรองอากาศหรือขจัดความชื้นได้ดีขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ถอดปลั๊กเครื่องขจัดความชื้นหลังใช้งานทุกครั้ง หากมีเหตุจำเป็นให้ต้องออกจากบ้านหรือไม่ใช้งานเครื่องกำจัดความชื้น แนะนำว่าควรปิดเครื่องและถอดปลั๊กทุกครั้งเพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยและประหยัดพลังงานไฟฟ้า รวมถึงลดการสะสมความร้อน ทั้งในตัวเครื่องและปลั๊กไฟฟ้า เพื่อยืดอายุการใช้งาน 2. ทำความสะอาดตัวกรองถัง ก่อนทำความสะอาดอย่าลืมถอดปลั๊กเครื่องก่อนทุกครั้ง จากนั้นให้ทำการถอดตัวถังเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่มีขนาดเล็กที่สุด ด้วยการล้างด้วยน้ำอุ่นและตากให้แห้งก่อนนำกลับมาประกอบใหม่ 3. ทำความสะอาดแผ่นกรอง เมื่อใช้ได้นานไปจะมีสิ่งสกปรกสะสมเยอะขึ้น ลดประสิทธิภาพในการขจัดความชื้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยสบู่หรือเครื่องล้างทำความสะอาดอื่น ๆ เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค 4. ทำความสะอาดอ่างเก็บน้ำ แน่นอนว่ากลไกในการทำงานของเครื่องขจัดความชื้น คือ ช่วยลดความชื้นในอากาศ จากนั้นกลั่นอากาศกลายเป็นหยดน้ำ และปล่อยอากาศร้อนเข้ามาแทนที่ ในขณะที่ความชื้นที่ถูกดูดเข้าไปถูกเปลี่ยนสภาพและปล่อยทิ้งตามท่อน้ำทิ้ง ซึ่งภายในตัวเครื่องมีอ่างเก็บน้ำที่แยกออกจากตัวเครื่อง หากมีการสะสมสิ่งสกปรกอาจลดประสิทธิภาพในการลดความชื้น ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นกรด – เบสแรงเกินไป และขัดเบา ๆ ผึ่งให้แห้งก่อนนำมาประกอบ 5. ทำความสะอาดข้างนอกตัวเครื่อง ใช้อุปกรณ์ภายในสะอาดยังไม่เพียงพอ ด้านนอกตัวเครื่องก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะปล่อยให้สกปรกไม่ได้ เพราะหากมีเชื้อโรคหรือแบคทีเรียสะสม นั่นเท่ากับว่าภายในห้องหรือสถานที่ที่มีการจัดวางเครื่องขจัดความชื้นไม่เหมาะต่อการใช้งาน เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีดูแลทำความสะอาดเครื่องขจัดความชื้น […]

ตัวกรองอากาศมีความสำคัญต่อโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไร

ตัวกรองอากาศ หรือ Air Filter คืออุปกรณ์ที่ไว้ใช้สำหรับกรองอากาศตามชื่อเลย มีหน้าที่สำคัญคือการขจัดสิ่งสกปรก ทั้งไอน้ำและฝุ่นละอองต่างๆ ที่ปะปนเข้ามาในกระแสของลมอัด โดยมีหลักการทำงานคร่าวๆ คือ เมื่อมีกระแสลมอัดไหลเข้าผ่านแผ่นบังคับทิศทาง ลมอัดจะไหลวนไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดแรงเหวี่ยงและทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ ที่ตกค้างอยู่เข้าไปปะทะกันกับผนังที่เป็นลูกถ้วย และไอน้ำที่ปะปนมาจะตกลงไปในส่วนล่างเพื่อรอการระบายน้ำที่อุดตันอีกครั้ง ส่วนสิ่งสกปรกและละอองฝุ่นต่างๆ จะถูกไส้กรองกักเก็บเอาไว้ ไม่ให้เข้าไปกับกะแสลมอัดเพื่อป้องกันการไหลออกทางช่องลม ตรงนี้ถ้าหากว่ามีสิ่งสกปรกหรือมีฝุ่นละอองมาก จะทำให้ไส้กรองอุดตันได้ ซึ่งความชื้น สิ่งสกปรก และละอองฝุ่นต่างๆ ถือว่าเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าในขั้นตอนการผลิต และอาจจะส่งผลไปถึงสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานอีกด้วย ดังนั้นการมีตัวกรองจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งตัวสินค้าและยังส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลดรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจได้อีกด้วย เราจะเลือกตัวกรองอย่างไรให้เหมาะสมกับโรงงานที่สุด สำหรับการเลือกตัวกรองที่เหมาะสมกับโรงงานอุตสาหกรรมนั้นจะมีอยู่ 3 ปัจจัยใหญ่ๆ นั้นก็คือ วัตถุประสงค์ของการใช้งาน เพราะตัวกรองอากาศแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นนั้นมีคุณสมบัติการกรองที่ไม่เหมือนกัน บางรุ่นจะกรองไอน้ำได้ดีมากกว่า ในขณะที่บางรุ่นก็อาจจะกรองอากาศและฝุ่นละอองต่างๆ ได้ดีกว่า ดังนั้นเราต้องพิจารณาก่อนว่าโรงงานเหมาะกับเครื่องกรองแบบไหนมากกว่ากัน ต่อมาคือ ประสิทธิภาพของเครื่องกรอง แน่อนว่าตัวกรองแต่ละแบรนด์แต่ละรุ่นนั้นทำหน้าที่คล้ายๆ กัน แต่ประสิทธิภาพในการทำงานอาจจะไม่เท่ากัน การตรวจเทียบรายละเอียดก่อนการตัดสินใจเลือกจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ และต้องอ้างอิงจากสินค้าที่เราผลิตขึ้นด้วยว่าเสี่ยงจะโดนฝุ่นละอองหรือเสี่ยงที่จะโดนไอน้ำมากกว่า ปัจจัยสุดท้ายคือเรื่องของความคุ้มค่า เมื่อเราสามารถพิจารณาถึงวัตถุประสงค์และประสิทธิภาพของเครื่องกรองได้แล้ว ต่อมาก็คือเรื่องของราคาและความคุ้มค่า ซึ่งการเลือกสินค้าที่มีความคุ้มที่สุดอาจจะไม่ใช่สินค้าที่มีราคาถูก แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ เพราะถ้าคุณภาพสูงก็จะหมดปัญหาเรื่องการชำรุดทรุดโทรม เพราะถ้าเลือกราคาถูกแต่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะทำให้เสียเงินอีกภายหลังได้ สรุปเครื่องกรองฝุ่นเหมาะกับโรงงานประเภทใด ตัวกรองอากาศนั้นเหมะสมมากๆ […]